รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้เปิดเผยแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจระยะต่อไปอย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญถึงทิศทางของประเทศในอีก 4-5 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายสูงสุดที่ท้าทายอย่างยิ่ง คือการผลักดันให้ประเทศไทยกลับมาผงาดในฐานะ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการลงทุนแห่งภูมิภาคอาเซียน” อีกครั้ง ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและความท้าทายจากเศรษฐกิจโลก แผนยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการกระตุ้นระยะสั้น แต่เป็นการวางรากฐานเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมตั้งแต่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดมหึมา, การปฏิรูปกฎระเบียบ, ไปจนถึงการยกระดับศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลก
ที่มาและความสำคัญ: ทำไมต้องมียุทธศาสตร์ใหม่?
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย, ปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงาน, และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว (Digital Disruption) ซึ่งทำให้โมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมเริ่มไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป รัฐบาลจึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการ “ยกเครื่อง” โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ เพื่อปลดล็อกศักยภาพและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันใหม่ การมุ่งเป้าไปที่การเป็นผู้นำอาเซียนไม่ได้เป็นเพียงคำขวัญ แต่เป็นเป้าหมายเชิงรูปธรรมที่จะกำหนดทิศทางการออกนโยบายทั้งหมดของรัฐบาลนับจากนี้
เจาะลึก 3 เสาหลักของแผนยุทธศาสตร์
- เสาหลักที่หนึ่ง: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต (Future-Ready Infrastructure)
- โครงการ Landbridge: หัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์นี้คือการเร่งผลักดันโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) ที่เชื่อมโยงระหว่างทะเลอันดามัน (ท่าเรือระนอง) และอ่าวไทย (ท่าเรือชุมพร) โครงการนี้ไม่ได้เป็นแค่การสร้างท่าเรือและถนน แต่เป็นการสร้าง “เส้นทางลัด” การค้าโลกใหม่ ที่จะช่วยลดระยะเวลาการขนส่งผ่านช่องแคบมะละกาได้ถึง 6-9 วัน รัฐบาลตั้งเป้าให้ Landbridge เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้า, การแปรรูป, และโลจิสติกส์ที่สำคัญของโลก ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดการลงทุนได้หลายแสนล้านบาทและสร้างงานได้นับแสนตำแหน่ง
- การขยายสนามบินและระบบราง: ควบคู่ไปกับ Landbridge รัฐบาลจะเดินหน้าขยายขีดความสามารถของสนามบินทั่วประเทศ ทั้งสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, และสนามบินในหัวเมืองรอง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการบิน (Aviation Hub) รวมถึงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงและรถไฟทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจต่างๆ เข้าด้วยกัน
- เสาหลักที่สอง: การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน (Investment-Friendly Ecosystem)
- ปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบ (Regulatory Guillotine): รัฐบาลจะตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อทบทวนและยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ โดยตั้งเป้าลดขั้นตอน, ลดระยะเวลา, และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อทำให้อันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของไทยดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด
- สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve): จะมีการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่จาก BOI ที่มุ่งเน้นไปยัง 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วน, อุตสาหกรรมดิจิทัล (Data Center, Cloud Computing), การแพทย์และสุขภาพ (Wellness & Medical Hub), พลังงานสะอาด (Clean Energy), และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense Industry)
- เสาหลักที่สาม: การยกระดับทุนมนุษย์ (Human Capital Development)
- นโยบาย Upskill & Reskill: รัฐบาลจะร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาเพื่อจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัล, ภาษา, และเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเตรียมความพร้อมแรงงานไทยให้สามารถทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วีซ่าสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ (Talent Visa): จะมีการปรับปรุงเงื่อนไขการออกวีซ่าประเภท Long-Term Resident (LTR) ให้ง่ายขึ้น เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ, นักลงทุน, และบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศให้เข้ามาทำงานและอาศัยในประเทศไทย
บทวิเคราะห์และผลกระทบทางการเมือง
แผนยุทธศาสตร์นี้ถือเป็น “เรือธง” ของรัฐบาลเศรษฐา ที่หากทำได้สำเร็จจะสร้างมรดกทางการเมืองที่สำคัญ แต่ในทางกลับกันก็มีความเสี่ยงและความท้าทายสูงเช่นกัน โครงการ Landbridge ต้องเผชิญกับคำถามด้านความคุ้มค่าในการลงทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมพร้อมจะหยิบยกขึ้นมาโจมตี การปฏิรูปกฎหมายอาจเจอแรงต้านจากระบบราชการเดิม ขณะที่การดึงดูดการลงทุนก็ต้องแข่งขันกับประเทศอื่นที่ให้สิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ความสำเร็จของแผนนี้จึงขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมืองและความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
เสียงสะท้อนจากฝ่ายต่างๆ
- ภาคเอกชน: ส่วนใหญ่แสดงความขานรับ โดยเฉพาะสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มองว่าแผนนี้มาถูกทางและจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้จริง
- ฝ่ายค้าน: ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Landbridge และเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลการศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อสาธารณะ
- นักวิชาการ: มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่กังวล โดยชี้ว่ากุญแจสำคัญคือความต่อเนื่องของนโยบาย และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง























