กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ จัดทีมพิเศษ ลุยเจาะตลาดเป้าหมาย ทั้งจีนตะวันตก เวียดนาม อินเดีย พร้อมจัด Exclusive Business Matching เพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าไทย มั่นใจปีนี้ โตได้ 6-7% มูลค่ากว่า 12 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯได้รับผลกระทบ ดังนั้น ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 68 กรมได้ตั้งคณะผู้แทนการค้า เตรียมบุกตลาดใหม่เพิ่มเติมอีก 3 คณะ คาดว่าจะสร้างมูลค่าส่งออกได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 190 ล้านบาท ได้แก่
1.จีนตะวันตก (เฉิงตู ฉงชิ่ง สิบสองปันนา) กลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง
2.อาเซียน (เวียดนาม) กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก
3.อินเดีย (มุมไบ) กลุ่มสินค้าและบริการเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยทั้ง 3 ตลาดมีศักยภาพที่จะนำเข้าสินค้าไทยได้

“ในช่วงที่เศรษฐกิจ และการค้าโลกมีความผันผวนจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ผู้ส่งออกบอกว่า ถ้ามีคำสั่งซื้อเข้ามา ก็จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ทั้งห่วงโซ่การผลิต และไม่ต้องปลดพนักงาน กรมจึงได้จัดคณะทำงานพิเศษ Special Task Force เดินทางไปเคาะประตูบ้านผู้ซื้อ ผู้นำเข้าในประเทศต่างๆ โดยในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะมุ่งไปที่จีน ในมณฑลที่สินค้าไทยยังเข้าไปไม่ถึง รวมถึงเวียดนาม และอินเดีย คาดว่า จะช่วยเพิ่มมูลค่าส่งออกได้อีกราว 190 ล้านบาท”
พร้อมกันนั้น จะจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจแบบสุดพิเศษ Exclusive Business Matching โดยเชิญผู้นำเข้า ผู้ซื้อจากสหรัฐฯ ยักษ์ใหญ่ และเป็นหน้าใหม่ มาเจรจาธุรกิจกับผู้ผลิต ผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทย เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อ และช่องทางการขายใหม่ๆ คาดว่า การส่งออกสินค้าไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 6-7% เมื่อเทียบปี 67 จากเป้าหมายที่โต 2-3% คิดเป็นมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปีก่อนที่ได้ประมาณ 10 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้านี้ กรมได้รับงบประมาณจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 33 ล้านบาท ในการเร่งหาตลาดใหม่ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ซึ่งได้นำมาจัดทำคณะ Special Task Force 5 คณะเดินทางไปเปิดตลาดศักยภาพใหม่ๆ 4 ภูมิภาค ตั้งเป้าหมายสร้างมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 1,600 ล้านบาท แต่กลับทำได้ถึง 3,000 ล้านบาท
สำหรับทั้ง 5 คณะ ประกอบด้วย
1.ลาตินอเมริกา (อาร์เจนตินา ชิลี บราซิล) กลุ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักร วัสดุก่อสร้าง อาหารกระป๋องและขนมขบเคี้ยว มูลค่า 595.47 ล้านบาท
2.ตะวันออกกลาง (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) กลุ่มสินค้าอาหารอนาคต อาหารสัตว์และอาหารสัตว์เลี้ยง มูลค่า 207.33 ล้านบาท
3.แอฟริกา (มาลี เซเนกัล โกตดิวัวร์) กลุ่มสินค้าเครื่องจักรกลการเกษตรและเครื่องจักรแปรรูป มูลค่า 796.76 ล้านบาท
4.อินเดีย กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร วัสดุก่อสร้าง และสินค้าโครงการใหญ่ มูลค่า 1,329 ล้านบาท
5.อินเดีย กลุ่มสินค้าอาหารและอุตสาหกรรมผลิตอาหาร มูลค่า 100 ล้านบาท























