Home ข่าวเศรษฐกิจ ภาคเอกชนมองอย่างไร?เมื่อเศรษฐกิจไทยถูกปรับ Outlook เป็นNegative ทุนเทา-คอร์รัปชั่น ปัญหาที่ต้องสาง

ภาคเอกชนมองอย่างไร?เมื่อเศรษฐกิจไทยถูกปรับ Outlook เป็นNegative ทุนเทา-คอร์รัปชั่น ปัญหาที่ต้องสาง

268
0

การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองทำให้หลายฝ่ายมองเห็น “แสงสว่างเล็ก ๆ” ต่อเศรษฐกิจไทย และดูเหมือนว่ารัฐบาลเฉพาะกิจที่มีอายุเพียง 4 เดือน กำลังสร้างความประทับใจให้ภาคเอกชนไม่น้อย ด้วยการเปิดเวที ร่างพิมพ์เขียว Reinvent Thailand เพื่อรับฟังข้อเสนอจากนักธุรกิจโดยตรง และเลือกนำนโยบายหลายข้อบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งแม้ปัจจุบัน จะยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลลัพธ์ แต่บรรยากาศเชิงบวกนี้ได้จุดประกายความหวังว่า รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตรงจุด มีผลงานเป็นรูปธรรม เปิดโอกาสให้กับเอกชนทำงานร่วมกัน  ก็จะสามารถสร้างแรงส่งความเชื่อมั่นให้ตลาดและนักลงทุนได้ไม่น้อย

สะท้อนจากผลการประชุมแถลง กกร. ประจำเดือน ตุลาคม 2568 ยังคงคาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม พร้อมระบุว่า หากรัฐบาลสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ให้ได้ราว 1 ใน 3 ของงบประมาณภายในสิ้นปีนี้ กระตุ้นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้ไปถึง 34 ล้านคน

ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล อาจจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%

ไทยต้องฟังเสียงเตือนจากโลกภายนอก

อย่างไรก็ดี ขณะที่ไทยกำลังพยายามฟื้นศรัทธาภายในประเทศ โลกกลับส่งสัญญาณเตือนที่ไม่อาจมองข้าม

  • เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอลงอย่างต่อเนื่อง โดย OECD ประเมินว่า การเติบโตปีนี้จะลดลงจาก 3.3% เหลือเพียง 2.9%
  • สำหรับไทย ผลกระทบชัดเจนที่สุดคือการส่งออก ซึ่ง UNDP คาดว่าจะหดตัวแรงถึง -12.7%
  • ค่าเงินบาทที่แข็งค่า กลายเป็นแรงกดดันซ้ำเติมทั้งผู้ส่งออกและภาคท่องเที่ยว

    และที่สำคัญที่สุด แม้ Fitch Ratings ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ BBB+ แต่ปรับ Outlook ลงเป็น Negative ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังและความสามารถในการสร้างรายได้ของรัฐในระยะยาว ซึ่งภาคธุรกิจไทย ได้สะท้อนความกังวลในสามแง่มุมที่ต่างกัน

    “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตอบคำถาม Thairath Money ว่า แม้สิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่การลดอันดับเครดิต แต่เป็น สัญญาณเตือน ซึ่งหากรัฐยังปล่อยปัญหาเชิงโครงสร้างทิ้งไว้ จะกลายเป็นความจริงในไม่ช้า

    “ การปรับ Outlook ครั้งนี้ถือเป็น “Warning” หรือคำเตือนที่ต้องรีบแก้ไข หากเราสามารถแก้ไขปัญหาได้ดี ในอนาคตก็มีโอกาสที่ระดับความน่าเชื่อถือจะถูกปรับขึ้นได้ “

    ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ กกร.ที่ได้พูดคุยและรับรู้อยู่แล้ว กรณีของ Fitch Ratings ได้ชี้ให้เห็นว่ามุมมองของทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้นสอดคล้องกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ Moody’s ก็ได้ปรับมุมมองในลักษณะคล้ายกันไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ มีราว 2 ใน 3 ของสถาบันจัดอันดับแล้ว

    ปัญหาเชิงโครงสร้าง และ ความไม่แน่นอนทางการเมือง

    ด้าน “ผยง ศรีวณิช” ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ และเป็นไปตามสิ่งที่ รองนายกรัฐมนตรี “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ”เคยแถลงว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวลง ไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง จากความสามารถในการสร้างรายได้ของประเทศ หรือการเก็บภาษีที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เมื่อเศรษฐกิจไม่เติบโต ปัญหานี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

    “สิ่งที่ต้องตระหนักคือ ความเสี่ยงหากไทยถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ (Downgrade) จริงๆ อันดับของเราจะลงไปเท่ากับประเทศฟิลิปปินส์ “ 

    เหตุการณ์นี้ตอกย้ำสิ่งที่ กกร. ได้ส่งสัญญาณเตือนมาเป็นเวลานานแล้วเกี่ยวกับความสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเป็นเรื่องที่ควรสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง

    ขณะที่ “ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ “ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ชี้ว่า หัวใจของปัญหานี้คือเรื่องของ “ความเชื่อมั่น” ที่ลดลง รวมไปถึง ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลไม่มีความนิ่ง รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายและการทำงาน ในช่วงก่อนหน้านี้

    อีกทั้ง ยังเชื่อมโยงกลับไปถึงปัญหาคอร์รัปชันว่าเป็นหนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนที่จะเข้ามาในไทยต้องคิดหนัก

    “ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดไม่ใช่ตัวเลข แต่คือ ความเชื่อมั่น หากการเมืองยังไม่นิ่งและคอร์รัปชันยังลุกลาม มีผลต่อความศรัทธาของนักลงทุนต่างชาติ” 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here