Home ข่าวเศรษฐกิจ ความเสี่ยงไทยถูกปรับลด Credit Rating แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะเร่งแก้ไข

ความเสี่ยงไทยถูกปรับลด Credit Rating แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะเร่งแก้ไข

267
0

อันดับความน่าเชื่อถือหรือเครดิตเรตติงของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ BBB+ หรือ Baa1 จากมุมมองของสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลัก 3 แห่ง ได้แก่ Moody’s, S&P และ Fitch มาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งถือว่าเป็นระดับกลุ่มลงทุน (Investment grade) สะท้อนว่าประเทศไทยมีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือสูง มีความสามารถในการชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยได้

อย่างไรก็ดี อันดับความน่าเชื่อถือของไทยกำลังสั่นคลอน โดยในช่วงที่ผ่านมา Moody’s (29 เม.ย. 2568) และ Fitch (24 ก.ย. 2568) ได้ประกาศว่ามีมุมมองทางลบต่อแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ (Negative outlook) ของไทย แม้ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ Baa1 และ BBB+ ตามลำดับ จาก 2 เหตุผลสำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงและความยั่งยืนทางการคลังที่แย่ลง

เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าอดีต

SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 1.8% ในปี 2568 และ 1.5% ในปี 2569 (มุมมอง ณ ก.ย. 2568) ชะลอลงมากจาก 2.5% ในปี 2567 ต่ำกว่าอัตราการเติบโตตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 2.7% เทียบกับอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 10 ปีก่อนวิกฤติโควิด (2553-2562) ที่ 3.6% ปัญหาส่วนหนึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มขยายตัวได้เพียง 2.5% ในปี 2568 และ 2.4% ในปี 2569 ต่ำกว่า 2.8% ในปี 2567 และโมเดลเศรษฐกิจไทยพึ่งพาโลกได้ยากขึ้น

แม้ภาคการส่งออกสินค้าของไทยจะขยายตัวได้ดีถึง 13.3% ใน 8 เดือนแรกของปี 2568 แต่ส่วนมากเป็นผลจากปัจจัยพิเศษ อย่างการเร่งส่งออกสินค้าก่อนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับมูลค่าการส่งออกทองคำยังเพิ่มขึ้นมากตามราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าการส่งออกของไทยจะชะลอตัวอย่างชัดเจนและหดตัวในช่วงปลายปี ก่อนจะหดตัวต่อเนื่อง -1.9% ในปี 2569

ภาคการท่องเที่ยวไทยได้เผชิญความท้าทายจากอุปสงค์ต่างประเทศเช่นเดียวกัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับการท่องเที่ยวในเอเชียแข่งขันกันเข้มข้นมากขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลักของไทยส่วนใหญ่ทับซ้อนกับนักท่องเที่ยวเป้าหมายของหลายประเทศ

อีกทั้ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องเสี่ยงทำให้ไทยเสียเปรียบการแข่งขันด้านท่องเที่ยว ทั้งกับประเทศปลายทางอื่นโดยเฉพาะเวียดนามและจีน ซึ่งค่าเงินอ่อนกว่าประเทศอื่น และในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากอินเดีย, สหรัฐฯ และจีน ที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทย โดย SCB EIC ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยทั้งหมด 32.9 ล้านคน ในปี 2568 และ 34.1 ล้านคนในปี 2569 ใช้เวลาถึง 7 ปีในการฟื้นตัวเทียบกับ 39.8 ล้านคนในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิดปี 2562

นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอและเปราะบาง โดยตลาดแรงงานไทยเริ่มเปราะบางมากขึ้นในช่วงปีนี้ อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมและอัตราการว่างงานเด็กจบใหม่ที่เร่งตัวขึ้น ประกอบกับชั่วโมงทำงานที่ปรับลดลง ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนไทยยังฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมถึงหนี้นอกระบบ ด้านภาคธุรกิจยังเปราะบางเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังมีรายได้ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here