
นบข.เคาะดูดซับอุปทานข้าวออกจากตลาดปริมาณ 3 ล้านตัน โดยมีเป้าหมายหลักในการพยุงราคารับซื้อข้าวเปลือกไม่ให้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีปี 2566/67 และนาปรังปี 2567 ที่คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณข้าวออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก การดำเนินการครั้งนี้เป็นผลมาจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีสาระสำคัญในการเห็นชอบหลักการมาตรการดูดซับอุปทานข้าวเปลือกและข้าวในตลาดภายในประเทศ ปริมาณรวม 3 ล้านตันข้าวเปลือก หรือเทียบเท่าข้าวสาร 2 ล้านตัน โดยเน้นการใช้กลไกของตลาดและมาตรการสนับสนุนต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว การดำเนินมาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้มีรายได้ที่เหมาะสม และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวในปีหน้า ที่อาจเผชิญกับความท้าทายจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันในตลาดโลก
ประเด็นสำคัญจาก: นบข.เคาะดูดซับอุปทานข้าวจากตลาด 3 ล้านตัน หวังดึงราคาขึ้น มองส่งออกข้าวปีนี้ทะลุ 8 ล้านตัน
ประเด็นหลักจากการประชุม นบข. คือการกำหนดมาตรการเพื่อลดแรงกดดันด้านราคาข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาตกต่ำได้ง่าย มาตรการดูดซับอุปทานข้าว 3 ล้านตันข้าวเปลือกนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่รัฐบาลใช้เพื่อบริหารจัดการอุปทานและอุปสงค์ภายในประเทศ การดำเนินการนี้มุ่งเน้นการใช้กลไกที่มีอยู่เดิมและเพิ่มเติมบางส่วน เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อตลาดน้อยที่สุด แต่ยังคงบรรลุวัตถุประสงค์ในการยกระดับราคาข้าว โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมตั้งแต่การรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร การส่งเสริมการแปรรูป และการผลักดันการส่งออก เพื่อให้เกิดความสมดุลในระบบห่วงโซ่อุปทานข้าวทั้งหมด การที่ นบข. เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของข้าวในฐานะพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ
มาตรการดังกล่าวยังรวมถึงการพิจารณาถึงสถานการณ์การส่งออกข้าวที่กำลังไปได้ดี โดยคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 8 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิมที่ 7.5 ล้านตัน ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกมาจากความต้องการข้าวในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัญหาภัยแล้งในหลายประเทศและนโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด ส่งผลให้ราคาข้าวไทยในตลาดโลกมีความได้เปรียบและสามารถแข่งขันได้ การที่ยอดส่งออกข้าวอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการระบายข้าวจากสต็อกและผลผลิตใหม่ที่กำลังจะออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม แม้การส่งออกจะดีขึ้น แต่การบริหารจัดการอุปทานภายในประเทศก็ยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการผันผวนของราคาภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกร
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
รายละเอียดของมาตรการดูดซับอุปทานข้าว 3 ล้านตันข้าวเปลือกนั้น ครอบคลุมหลายส่วน โดยเริ่มตั้งแต่การรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรโดยตรงผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต็อกข้าว และการส่งเสริมให้สหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรับซื้อข้าวเพื่อการรวบรวมและแปรรูป การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยลดปริมาณข้าวที่ไหลเข้าสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน และช่วยให้เกษตรกรสามารถขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณามาตรการสนับสนุนการส่งออกข้าวเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถระบายข้าวส่วนเกินออกสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารจัดการปริมาณข้าว
หนึ่งในมาตรการที่คาดว่าจะมีการนำมาใช้คือ การส่งเสริมการแปรรูปข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่า และการนำข้าวไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่ใช่การบริโภคโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณข้าวที่จะเข้าสู่ตลาดบริโภค การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวใหม่ๆ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ นบข. ให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความหลากหลายและเพิ่มช่องทางการระบายข้าว นอกจากการดูดซับอุปทานแล้ว การสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับเกษตรกรในการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดก็เป็นเรื่องที่ นบข. จะต้องสื่อสารและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระบบการผลิตข้าวของประเทศในระยะยาว
สรุปข่าวทั้งหมด
การตัดสินใจของ นบข. ที่จะดูดซับอุปทานข้าวจากตลาด 3 ล้านตัน ภายใต้สถานการณ์ที่การส่งออกข้าวของไทยมีแนวโน้มดีเกินคาด โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จะส่งออกได้ถึง 8 ล้านตัน ถือเป็นการบริหารจัดการที่สำคัญเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับราคาข้าวภายในประเทศและปกป้องรายได้ของเกษตรกร แม้ว่าตลาดส่งออกจะสดใส แต่การดูแลราคาในประเทศยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวอาจทำให้ราคาตกต่ำได้ง่าย มาตรการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการใช้กลไกต่างๆ ทั้งการรับซื้อ การแปรรูป และการส่งออก เพื่อให้เกิดความสมดุลในห่วงโซ่อุปทานข้าวทั้งหมด การดำเนินการที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพได้ดีขึ้น และประเทศไทยยังคงเป็นผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญในตลาดโลกอย่างยั่งยืนต่อไป























