
นบข. หรือคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ได้เดินหน้ามาตรการดูดซับข้าวเปลือกจากตลาดเพื่อป้องกันปัญหาราคาตกต่ำในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตปี 2567/68 โดยมีเป้าหมายในการดูดซับปริมาณข้าวประมาณ 3 ล้านตัน การดำเนินการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาระดับเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรชาวนาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันผลกระทบจากการที่ผลผลิตข้าวล้นตลาดในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีการเพาะปลูกข้าวเหนียวและข้าวหอมมะลิเป็นหลัก ซึ่งเป็นชนิดข้าวที่มีความอ่อนไหวต่อกลไกตลาดและผลผลิตที่ออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมากอาจส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงได้อย่างรวดเร็ว
ประเด็นสำคัญจาก: นบข. เดินหน้ามาตรการดูดซับข้าว 3 ล้านตัน สกัดราคาตก หวังหนุนรายได้ชาวนา
มาตรการดูดซับข้าวจำนวน 3 ล้านตันเป็นกลไกสำคัญที่ นบข. นำมาใช้ เพื่อจัดการกับภาวะอุปทานส่วนเกินที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวหลัก โดยมาตรการนี้ครอบคลุมการใช้เครื่องมือหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาเสถียรภาพราคา หนึ่งในนั้นคือการเร่งรัดการส่งออกข้าวเพื่อลดปริมาณข้าวในประเทศ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้ทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการหาตลาดใหม่ๆ และขยายส่วนแบ่งตลาดในประเทศคู่ค้าเดิม เพื่อเพิ่มช่องทางการระบายข้าวสู่ตลาดโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดแรงกดดันต่อราคาข้าวภายในประเทศได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการแปรรูปข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่า และการนำข้าวไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หรืออุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ซึ่งจะเป็นการสร้างความต้องการใช้ข้าวในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากการส่งออกและการแปรรูปแล้ว นบข. ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสต็อกข้าวของรัฐบาล โดยการทบทวนปริมาณที่เหมาะสมที่จะจัดเก็บไว้ในคลัง เพื่อให้มีเสบียงเพียงพอในยามจำเป็น และสามารถนำออกมาใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพราคาได้เมื่อตลาดผันผวน การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการใช้กลไกทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อประคับประคองราคาข้าวเปลือกไม่ให้ตกต่ำจนส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานกับผู้ประกอบการโรงสีและผู้ส่งออก เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
เพื่อสนับสนุนมาตรการดูดซับข้าวอย่างยั่งยืน นบข. ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกในการเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าวได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ต้องรีบขายในช่วงที่ราคาตกต่ำเนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก สินเชื่อดังกล่าวจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้เกษตรกร สามารถรอจังหวะที่ราคาข้าวในตลาดปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองของเกษตรกร และลดการพึ่งพากลไกตลาดเพียงอย่างเดียว การสนับสนุนสินเชื่อยังครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้าวเปลือก เพื่อให้มั่นใจว่าข้าวที่เก็บรักษาไว้จะคงคุณภาพดี ไม่เกิดความเสียหายก่อนการจำหน่ายออกสู่ตลาด
นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณานโยบายที่จะส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวในระยะยาว เช่น การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเพาะปลูก การวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูงและทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์และการลดการใช้สารเคมี ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร แต่ยังจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตข้าวไทยในตลาดโลก และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าเกษตรของประเทศในระยะยาว คาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยให้รายได้ของชาวนาไม่ตกต่ำ และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของนโยบายบริหารจัดการข้าวของประเทศ
สรุปข่าวทั้งหมด
การเดินหน้ามาตรการดูดซับข้าวเปลือกปริมาณ 3 ล้านตันของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการดูแลเสถียรภาพราคาข้าวและสนับสนุนรายได้ของเกษตรกรชาวนา โดยมาตรการนี้ประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดการส่งออก การส่งเสริมการแปรรูป การบริหารจัดการสต็อกข้าว และการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกแก่เกษตรกร ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายร่วมกันคือการป้องกันไม่ให้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตปี 2567/68 ที่จะมาถึง มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาระยะสั้น แต่ยังมองไปถึงการสร้างความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม โดยการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตข้าวไทย ซึ่งจะส่งผลให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว คาดว่าการดำเนินการอย่างจริงจังของ นบข. จะช่วยรองรับผลกระทบจากปริมาณผลผลิตข้าวที่ออกสู่ตลาดพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ























