
กสทช. ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐหลายภาคส่วน เพื่อปราบปรามและแก้ไขปัญหากลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านการข่าว การตรวจสอบ การระงับสัญญาณ การดำเนินคดี และการเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งนับเป็นการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย โดยความร่วมมือนี้คาดว่าจะช่วยลดจำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อและจำกัดช่องทางการดำเนินงานของกลุ่มมิจฉาชีพได้ในระยะยาว ภายใต้การประสานงานและสนับสนุนจากหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและเทคโนโลยี
ประเด็นสำคัญจาก: กสทช. ผนึกหน่วยภาครัฐ MOU ร่วมมือกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์
การผนึกกำลังครั้งนี้เกิดขึ้นจากความตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ที่พัฒนาและปรับเปลี่ยนกลวิธีหลอกลวงอยู่เสมอ ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สิน กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม จึงได้ริเริ่มการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อนำความเชี่ยวชาญและอำนาจหน้าที่ของแต่ละองค์กรมาใช้ในการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์อย่างรอบด้าน ความร่วมมือนี้จะมุ่งเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรูปแบบการหลอกลวง การตรวจสอบและระบุตัวตนของมิจฉาชีพ การดำเนินการทางกฎหมายที่รวดเร็ว และการปิดกั้นช่องทางการติดต่อสื่อสารที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวง อาทิ การโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (VoIP) และการส่งข้อความสั้น (SMS) ปลอม
วัตถุประสงค์หลักของ MOU คือการจัดตั้งกลไกการทำงานร่วมกันที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดระยะเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์การหลอกลวง และเพิ่มโอกาสในการยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเป้าหมายในการปกป้องประชาชน โดยมีการวางแผนจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และวิเคราะห์พฤติกรรมของมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบ AI เพื่อตรวจจับรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อน และการสร้างแพลตฟอร์มกลางสำหรับแจ้งเบาะแสและขอรับความช่วยเหลือจากผู้เสียหาย การบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนจะช่วยให้หน่วยงานสามารถมองเห็นภาพรวมของเครือข่ายมิจฉาชีพ และดำเนินมาตรการเชิงรุกได้อย่างมีทิศทางและแม่นยำมากยิ่งขึ้น การลงนามในครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญของการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังเป็นปัญหาระดับชาติ และจะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ แต่ละหน่วยงานจะมีบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน สำนักงาน กสทช. จะรับผิดชอบหลักในการควบคุมและกำกับดูแลผู้ประกอบการโทรคมนาคมให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการวางมาตรการด้านเทคนิคเพื่อป้องกันการใช้สัญญาณโทรคมนาคมในการกระทำผิด เช่น การบล็อกเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องสงสัย การตรวจสอบการลงทะเบียนซิมการ์ด และการระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ในขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเข้ามาดูแลด้านการสืบสวนสอบสวน การรวบรวมพยานหลักฐาน และการจับกุมผู้กระทำผิด โดยจะมีการจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษที่ทำงานร่วมกับ กสทช. เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) จะเข้ามาสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและข้อมูล เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในรูปแบบต่าง ๆ สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง
บทบาทของสถาบันการเงินก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงาน ปปง. จะร่วมมือกันในการตรวจสอบและติดตามเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ เพื่อยับยั้งการโอนย้ายทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด และดำเนินมาตรการฟอกเงินอย่างเข้มงวด การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินระหว่างธนาคารและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะช่วยให้สามารถระบุบัญชีม้าและเครือข่ายการฟอกเงินได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการตัดวงจรการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็มีบทบาทสำคัญในการให้ความร่วมมือกับ กสทช. ในการดำเนินการทางเทคนิคต่าง ๆ เพื่อสกัดกั้นการโทรและข้อความหลอกลวง ทำให้การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์เป็นไปอย่างแข็งขันและครอบคลุมทุกมิติ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมดิจิทัลของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
สรุปข่าวทั้งหมด
ความร่วมมือระหว่าง กสทช. และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ในการลงนาม MOU เพื่อกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ที่ยืดเยื้อมานาน การบูรณาการบทบาทหน้าที่และความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงาน ตั้งแต่การกำกับดูแล การบังคับใช้กฎหมาย การติดตามเส้นทางการเงิน ไปจนถึงการให้ความรู้แก่ประชาชน จะเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การมุ่งเน้นไปที่การลดช่องโหว่ทางเทคโนโลยี การเร่งรัดการดำเนินคดี และการเยียวยาผู้เสียหาย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้บริการดิจิทัล และคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะส่งผลให้จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อลดลงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต แต่ความสำเร็จที่ยั่งยืนจะขึ้นอยู่กับการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมและการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันต่อรูปแบบการหลอกลวงที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ประเทศไทยมีความปลอดภัยทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น























