
เตือนผู้ค้า “คนละครึ่งพลัส” ที่มีพฤติกรรมฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าหรือบริการสูงเกินจริง เพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคที่ใช้สิทธิ์โครงการ “คนละครึ่งเฟส 4” และ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ว่าจะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในได้เน้นย้ำถึงบทลงโทษที่รุนแรง ทั้งการปรับและการจำคุก หากพบการกระทำผิดดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของโครงการที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและประชาชนทั่วไปได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมจากมาตรการภาครัฐ
ประเด็นสำคัญจาก: เตือนผู้ค้า “คนละครึ่งพลัส” ขายของเกินราคา เจอโทษปรับ-จำคุก
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากจากประชาชนเกี่ยวกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 4 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีพฤติกรรมฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและบริการสูงเกินกว่าราคาปกติก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการ หรือสูงกว่าราคาที่จำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ใช้สิทธิ์โครงการเหล่านั้น พฤติกรรมดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยตรง แต่ยังขัดต่อเจตนารมณ์ของโครงการที่ต้องการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและกระตุ้นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจอีกด้วย การตรวจสอบและควบคุมการทุจริตในโครงการของรัฐจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด และป้องกันการบิดเบือนกลไกตลาด
เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรมการค้าภายในได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานภาคเอกชนที่ดูแลระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมร้านค้าต้องสงสัยอย่างเข้มงวด หากพบเบาะแสหรือได้รับการร้องเรียน กรมฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที และหากพบการกระทำผิดจริง จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดไม่มีข้อยกเว้น โดยบทลงโทษที่กำหนดไว้เพื่อป้องปรามการกระทำผิดนี้มีความรุนแรงและชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงผลที่จะตามมาและรักษามาตรฐานการค้าที่เป็นธรรม
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
สำหรับร้านค้าที่ฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าและบริการเกินราคา โดยอาศัยสถานะของการเป็นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐ ถือว่ามีความผิดตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ซึ่งระบุว่า “ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและบริการเกินสมควร” หากศาลวินิจฉัยว่ามีความผิดจริง จะต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ การไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและบริการให้ชัดเจนซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ก็เป็นความผิดตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน โดยมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท การกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อยับยั้งการกระทำผิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการใช้สิทธิ์ตามโครงการของรัฐบาล.
มาตรการดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้โครงการช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐบรรลุวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง การกระทำฉ้อฉลเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อโครงการ และอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพโดยรวมของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น การมีกลไกการร้องเรียนและการดำเนินการที่รวดเร็วและเด็ดขาดจึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมและป้องกันการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจยังคงต้องการการฟื้นฟู และประชาชนยังคงต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ.
สรุปข่าวทั้งหมด
กระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาเตือนผู้ค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 4 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำหน่ายสินค้าและบริการในราคาที่เหมาะสม ไม่ฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสูงเกินจริงเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค หากพบการกระทำผิดดังกล่าว ผู้ค้าจะต้องเผชิญกับบทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง ทั้งการจำคุกไม่เกิน 7 ปี และ/หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ การไม่แสดงราคาอย่างชัดเจนก็มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรมการค้าภายในจึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมการเอาเปรียบเหล่านี้ สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป การเฝ้าระวังและการดำเนินการอย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐและภาคประชาชนจะช่วยให้โครงการของรัฐบรรลุวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม.























